Category: Uncategorized
-
โทษของการกินหวานเกินไป
โทษของการกินหวานเกินไป น้ำตาลเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่การกินน้ำตาลมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ น้ำตาลมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า ซูโครส (Sucrose) เป็นคาร์โบไฮเดรตประเภทน้ำตาลโมเลกุลคู่ พบได้ในอาหารและเครื่องดื่มหลายชนิด เช่น ขนมหวาน เบเกอรี่ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ นมเปรี้ยว เป็นต้น การกินน้ำตาลมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ดังนี้ โทษของการกินหวานเกินไปต่อระบบทางเดินอาหาร น้ำตาลจะกระตุ้นให้ตับผลิตอินซูลินออกมามากขึ้น เพื่อนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ในร่างกาย หากร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไป อินซูลินจะทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้ตับทำงานหนักตามไปด้วย และอาจนำไปสู่โรคตับอ่อนอักเสบได้ นอกจากนี้ น้ำตาลยังอาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ ส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก ปวดท้อง และอาจทำให้ลำไส้อักเสบได้ โทษของการกินหวานเกินไปต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด น้ำตาลจะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในร่างกาย ซึ่งอาจทำให้ระดับไขมันในเลือดสูงขึ้น ส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และอาจนำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือดได้ นอกจากนี้ น้ำตาลยังอาจทำให้หลอดเลือดแข็งตัว ส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหลอดเลือดสมองได้ โทษของการกินหวานเกินไปต่อระบบประสาท น้ำตาลจะเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมาเพื่อนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ในร่างกาย หากร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไป อินซูลินจะทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้เซลล์ในสมองได้รับน้ำตาลไม่เพียงพอ ซึ่งอาจทำให้มีอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หงุดหงิด ซึมเศร้า และอาจทำให้สมาธิสั้นได้ โทษของการกินหวานเกินไปต่อระบบอื่นๆ นอกจากโทษต่อระบบทางเดินอาหาร ระบบหัวใจและหลอดเลือด และระบบประสาทแล้ว การกินหวานมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อระบบอื่นๆ…
-
โทษของการกินเผ็ดเกินไป
โทษของการกินเผ็ดเกินไป อาหารรสเผ็ดเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ด้วยรสชาติที่เข้มข้น เผ็ดร้อน กระตุ้นให้น้ำลายสอ หลายคนชื่นชอบการกินอาหารรสเผ็ดเพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับประทานอาหาร อย่างไรก็ดี การกินเผ็ดมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ โทษของการกินเผ็ดมากเกินไปต่อระบบทางเดินอาหาร อาหารรสเผ็ดมีสารแคปไซซิน (Capsaicin) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดรสเผ็ดร้อน สารแคปไซซินจะกระตุ้นให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้เลือดไหลเวียนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดอาการแสบร้อนบริเวณปาก คอ และกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ สารแคปไซซินยังอาจทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบได้ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะอาหาร โรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคกรดไหลย้อน ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารรสเผ็ด เพราะอาจทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้นได้ โทษของการกินเผ็ดมากเกินไปต่อระบบอื่นๆ นอกจากโทษต่อระบบทางเดินอาหารแล้ว การกินเผ็ดมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อระบบอื่นๆ ของร่างกายได้ เช่น ข้อควรระวังในการกินเผ็ด การกินเผ็ดมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ดังนั้น ควรกินเผ็ดในปริมาณที่เหมาะสม โดยไม่ควรกินเผ็ดมากกว่า 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ และควรเลือกกินอาหารรสเผ็ดที่ปรุงสุกใหม่ ๆ เพราะอาหารรสเผ็ดที่เก็บไว้นาน ๆ อาจทำให้สารแคปไซซินสูญเสียฤทธิ์ลง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการกินเผ็ดหากมีโรคประจำตัว เช่น โรคกระเพาะอาหาร โรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคกรดไหลย้อน เป็นต้น และควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอหลังกินอาหารรสเผ็ด เพื่อช่วยลดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร วิธีลดผลกระทบจากการกินเผ็ด หากหลีกเลี่ยงการกินเผ็ดไม่ได้ สามารถทำได้ดังนี้…
-
วิธีรับมือกับออฟฟิศซินโดรม
วิธีรับมือกับออฟฟิศซินโดรม ออฟฟิตซินโดรม (Office Syndrome) คือ กลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืดที่พบบ่อยในผู้ที่ทำงานในออฟฟิศหรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยเกิดจากการใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ เป็นเวลานานต่อเนื่อง ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดการอักเสบและปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณ คอ หลัง ไหล่ บ่า แขน หรือข้อมือ อาการของออฟฟิตซินโดรม ได้แก่ ออฟฟิตซินโดรมอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานและการดำเนินชีวิตประจำวันได้ วิธีรับมือกับออฟฟิตซินโดรม วิธีรับมือกับออฟฟิตซินโดรม มีดังนี้ วิธีป้องกัน วิธีบรรเทาอาการ การปรับท่าทางในการทำงาน การปรับท่าทางในการทำงานให้ถูกต้องเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันการเกิดออฟฟิตซินโดรม ดังนี้ การพักสายตาและเคลื่อนไหวร่างกาย การพักสายตาและเคลื่อนไหวร่างกายทุกๆ 20-30 นาทีจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดอาการปวด ดังนี้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและลดความเสี่ยงในการเกิดออฟฟิตซินโดรม ดังนี้ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยบำรุงร่างกายและลดความเสี่ยงในการเกิดออฟฟิตซินโดรม ดังนี้ ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำให้เพียงพอจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับร่างกายและบรรเทาอาการปวด ดังนี้ หากมีอาการออฟฟิตซินโดรมรุนแรงหรือส่งผลกระทบต่อการทำงานและการดำเนินชีวิตประจำวันมาก ควรไปพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
-
วิธีรับมือกับอาการตาแห้ง
อาการตาแห้ง เป็นโรคตาที่พบได้บ่อย โดยเกิดจากการผลิตน้ำตาไม่เพียงพอ หรือน้ำตาระเหยเร็วเกินไป ส่งผลให้ดวงตาแห้ง ระคายเคือง และมีอาการแสบตา คันตา ตาพร่ามัว หรือมีน้ำตาไหล อาการตาแห้งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อาการตาแห้งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การทำงาน การอ่านหนังสือ การขับรถ หรือการทำกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องพึ่งพาสายตา วิธีรับมือกับอาการตาแห้ง วิธีรับมือกับอาการตาแห้ง มีดังนี้ นอกจากนี้ ยังมีวิธีอื่นๆ ที่อาจช่วยบรรเทาอาการตาแห้งได้ เช่น หากมีอาการตาแห้งรุนแรงหรือส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันมาก ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม